มีคนมาปรึกษาว่า สวัสดีค่ะ จะมาปรึกษาเรื่องครอบครัวค่ะ คือเราเรียนจบแค่ ปวส. แต่ทำงานโรงงานเงินเดือน 20,000 บาท พ่อเสียแล้วและแม่อยู่ขอนแก่น อาเป็นคนเลี้ยงเรามา เรามีพี่สาวคนนึงค่ะ ตอนแรกเขาก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ติดหนี้คนเขาไปทั่ว แต่เราเป็นคนที่ให้เขายืมเงินมาเสมอ พี่จะยืมเท่าไรก็ให้ บ้านอาก็ชอบว่าพี่ตลอดว่ายืมเงินไม่ยอมคืน และชอบพูดว่า คอยดูคนแบบนี้ไม่มีทางเจริญหรอก แล้วตัดหางปล่อยวัดพี่ไปเลย เรามีเรื่องทะเลาะกันเรื่องค้ำประกันให้ แต่เราไม่ยอม เลยตัดขาดกับพี่ไปรอบนึง แล้วก็ดีกันเหมือนเก่า พอพี่กลับมาหารอบนี้ พี่ก็ไปหาธุรกิจทำ พอทำไปทำมาดันรุ่งเรือง มีแฟรนไชส์ถึง 6 สาขา ภายใน 1 เดือน ซึ่งตอนนั้นเราก็กลับมาคุยกันปกติแล้ว แต่คราวนี้ที่บ้านอา ไม่ว่าทั้งแม่ที่เคยทิ้งเราไป พากันมารุมพี่กันหมดเลย ดูแลเอาใจใส่อย่างดีมาก ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยจะมาสนใจ ตอนแรกพี่เราก็ชวนเราไปขายของทำธุรกิจด้วย แล้วเราก็สนใจ ไป ๆ มา ๆ พี่ก็ไปบอกแม่ว่าถ้าน้องมาจะมาเป็นภาระเปล่า ๆ จนเราเตรียมตัวมา 6 เดือน เกือบจะออกจากงานอยู่แล้ว แต่มาได้ยินสิ่งที่แม่มาบอกกับเรา คือเราก็เสียใจมาก ๆ อีกประเด็นคือเราก็ทำงานที่โรงงาน บ้านอาไม่ค่อยยอมรับ เพราะว่าเงินเดือนน้อย เวลาเราทักไลน์ครอบครัวไป หรืออยากมีส่วนร่วมอะไร ทุกคนจะไม่ค่อยตอบเราเลย ข้ามเราไป ไม่สนใจ เหมือนเราเป็นอากาศ แต่สำหรับพี่ที่มีเงินมีทองแล้ว บ้านอาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลยค่ะ เดี๋ยวนี้เราเลยไม่ค่อยได้คุยกับพี่แล้ว ขนาดเราคอมเมนต์อะไรไป พี่เขาก็ชอบข้ามไป แล้วก็ไปตอบคนอื่นแทนเราก็รู้สึกน้อยใจมากว่า เพียงเพราะเราไม่มีเงินเหรอคะ ทุกคนถึงมองข้ามเราขนาดนี้เลย ทั้งที่เราเคยช่วยทุกคน ตอนนี้เราห่างจากครอบครัวพี่สาว ไม่ไลน์หา ไม่ตอบ ไม่อยากมีส่วนร่วมอะไรในกลุ่มแล้ว ตอนนี้ตั้งใจเก็บเงินให้มากที่สุด เผื่อวันนึงอยากจะขายของทำธุรกิจเป็นของตัวเอง และไม่ทำธุรกิจของพี่สาวเด็ดขาด สิ่งที่เราคิดแบบนี้ถูกต้องไหมคะ ถอยมาแบบนี้ อยากระบาย อึดอัดมาก อาจจะยาวหน่อยนะคะ


- ชีวิตไม่มีอะไรผิดหรือถูก มีแต่ว่าสิ่งที่เราตัดสินใจแบบนี้ แล้วเราจะรับผลที่เรากระทำไปแล้วได้หรือไม่มากกว่า


- สิ่งที่ครอบครัวเราเป็นและให้คุณค่า ก็คือสิ่งที่คนหลายคนมักจะเป็นกัน นั่นก็คือเห็นเงินเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง และยกยอปอปั้นให้คนที่มีเงินสูงส่งเหมือนเทพเจ้า


- สังคมสมัยนี้ค่อนข้างไปในทิศทางที่เห็นความสำคัญของความสุขสบายเป็นแก่นของชีวิต แต่กลับมองความดีที่เคยทำมาเป็นสิ่งที่ไม่สลักสำคัญเท่า มันจึงเป็นบททดสอบอย่างหนักหน่วง


- หากเราต้องการจะเอาชนะด้วยสติ เราจงทำในสิ่งที่ควรทำ ถอยมาตั้งหลักในวันที่เรารู้สึกด้อยค่าตัวเองก่อน การมองสิ่งที่ตัวเองมีสำคัญกว่ามองสิ่งที่ตัวเราไม่มี วันนี้ไม่ใช่วันของเรา ท่องไว้แบบนี้


- ทุกคนจะต้องเรียนรู้สิ่งหนึ่งของชีวิต นั่นก็คือวันของใครก็วันของเขา เราไม่สามารถแย่งเวลาชีวิตของใครได้ เราทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ บางครั้งชีวิตเราอาจจะไม่ได้ออกแบบให้เราได้รับ แต่อาจจะเป็นการส่งต่อก็เป็นได้